
กัญชาในการรักษาโรคในทางการแพทย์
1.กัญชารักษาโรคภาวะคลื่นไส้/อาเจียนจากยาเคมีบำบัด
ผู้ที่มีโรคภาวะคลื่นไส้ หรืออาเจียนจากยาเคมีบำบัด
แพทย์จะให้รับประทานยา Nabilone แต่ผู้ป่วยต้องมีอายุตั้งแต่
18 ปีขึ้นไป
เพราะมีผลข้างเคียงมีผลต่อระบบประสาท เนื่องจากสเป็นสารสกัดจากกัญชา
2.กัญชารักษาโรคภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
กัญชาสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อสำหรับผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อม
บรรเทาอาการปวดเฉียบพลันให้กับผู้ป่วยโรคภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง
3.กัญชารักษาโรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา
จากงานวิจัยพบว่าสาร CBD (Cannabidiol) ที่มีอยู่ในกัญชามีศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักให้ดีขึ้นได้
โดยผู้ป่วยโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษาใช้สารนี้แล้วบรรเทาอาการลดลงได้มากถึง 44%
4.กัญชารักษาโรคอัลไซเมอร์
มหาวิทยาลัยฟลอริดาได้ทดลองนำกัญชารักษาในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
เนื่องจากพบว่าสารเดลตา 9 มีความสามารถในการยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษ
อีกทั้งยังสามารถยับยั้งการทำงานของไมโทคอนเดรียได้อีกด้วย
5.กัญชารักษาโรคพาร์กินสัน
ในกัญชามีสารไฟโตแคนนาบินอยด์
หากผู้ป่วยโรคพาร์กินสันใช้น้ำมันกัญชาวันละ 2-5 หยด
จะช่วยลดสารโดพามีนที่มีผลต่อการอักเสบในสมอง ทำให้ระบบหลั่งสารสื่อประสาทให้ดีขึ้น
6.กัญชารักษาโรคผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำ
จากการศึกษาค้นพบว่ากัญชาสามารถบรรเทาอาการคัน,บวม
และลดการอักเสบของผู้ป่วยได้ถึง 86.4%
ทั้งในโรคผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำและโรคผิวหนังอักเสบ
7.กัญชารักษาโรคภาวะนอนไม่หลับ
ในกัญชามีสาร Cannabinoids ซึ่งนำมารักษาผู้ป่วยที่มีโรคภาวะนอนไม่หลับ
เพราะมีฤทธิ์ทำให้นอนหลับง่ายขึ้น ผ่อนคลาย
นอกจากนี้สารตัวนี้ยังไม่ส่งผลข้างเคียงหลังจากตื่นนอนอีกด้วย
8.กัญชารักษาโรควิตกกังวล (Anxiety disorder)
วิจัยจากมหาวิทยาลัย Southern California ค้นพบว่า
กัญชาสามารถช่วยรักษาโรควิตกกังวลได้ โดยได้ทำการสำรวจจากผู้เข้าร่วมทดลอง 4,400 คน
พบว่าผู้ที่ใช้กัญชามีอาการซึมเศร้าน้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้กัญชา
Other Articles

สุขภาพดีด้วยกัญชา
การใช้สารสกัดจากกัญชาทางการแพทย์
Read more..
ประโยชน์ของสาร THC และ CBD ในกัญชา
สาร THC ใช้ในขนาดที่เหมาะสม จะมีผลในการลดปวด ลดการเกร็งของ กล้ามเนื้อ ลดอาการคลื่นไส้
Read more..
กัญชามีกี่สายพันธุ์
ซาติวา (Cannabis Sativa) ผู้ค้นพบสายพันธุ์นี้คือคาโรรัส ลินเนียส (Carolus Linnæus หรือ Carl Linnaeus)
Read more..